Rated 4.9-stars across 1.5K+ reviews
Rated 4.9-stars across 1.5K+ reviews Rated 4.9-stars across 1.5K+ reviews Rated 4.9-stars across 1.5K+ reviews Rated 4.9-stars across 1.5K+ reviews Rated 4.9-stars across 1.5K+ reviews

อาหารคนท้อง คุณแม่ควรทานอะไรระหว่างตั้งครรภ์ เสริมพัฒนาการ และสุขภาพลูก?

GeneusDNA profile image By
GeneusDNA
|
Aug 21, 2024
|
167
ครอบครัว
อาหาร
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
อาหารคนท้อง, คนท้องกินอะไร, คนท้องกินอะไรลูกฉลาด
Summary
อาหารคนท้อง, คนท้องกินอะไร, คนท้องกินอะไรลูกฉลาด

ว่าที่คุณแม่ควรรู้ อาหารคนท้อง ที่ควรทานระหว่างตั้งครรภ์มีอะไรบ้าง เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการ และสติปัญญาเจ้าตัวเล็ก ตั้งแต่ในท้องแม่

การทานอาหารที่ถูกต้องระหว่างตั้งครรภ์ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างสุขภาพ และพัฒนาการของทารกในครรภ์ คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลาย เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายและลูกน้อย โดยบทความนี้ได้รวบรวมวิตามิน รวมถึงอาหารประเภทต่างๆ ที่ดีกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และลูกในท้องมาฝากกันแล้ว

อาหารคนท้องที่ดีต่อลูกในครรภ์ เสริมสร้างพัฒนาการผ่านสายสะดือ

สารอาหารที่สำคัญสำหรับลูกในท้อง แม่ที่ตั้งครรภ์ควรทานวิตามินเสริมอะไรบ้าง

ในระหว่างตั้งครรภ์ ทารกจะได้รับสารอาหารจากคุณแม่ผ่านทางสายสะดือ ดังนั้นการทานอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลาย จะช่วยให้ทารกได้รับสารอาหารที่จำเป็นในการเจริญเติบโต และมีการพัฒนาอย่างเต็มที่ โดยสารอาหารที่สำคัญสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ได้แก่

1. โฟเลตและโฟลิกแอซิด (Folate and folic acid) ช่วยป้องกันข้อบกพร่องของท่อประสาทในทารก และสนับสนุนการพัฒนาสมอง ระบบประสาทของทารก รวมถึงช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่ และเซลล์เม็ดเลือดแดงที่สำคัญ โดยการได้รับโฟเลตและโฟลิกแอซิดนั้น มาจากอาหารที่หลากหลาย เช่น ผักใบเขียวเข้ม, ถั่ว, ธัญพืช, และอาหารเสริมที่มีโฟลิกแอซิด

2. ธาตุเหล็ก (Iron) เป็นสิ่งสำคัญในการขนส่งออกซิเจนจากเลือดของคุณแม่ไปยังทารก การมีธาตุเหล็กเพียงพอช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโลหิตจาง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหา เช่น การคลอดก่อนกำหนด โดยอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ เนื้อแดง, ถั่ว, ผักใบเขียว, และซีเรียลเสริมธาตุเหล็ก

3. แคลเซียม (Calcium) สนับสนุนการพัฒนากระดูกและฟันของทารกในครรภ์ รวมถึงช่วยรักษาความแข็งแรงของกระดูกคุณแม่ อีกทั้งแคลเซียมยังมีบทบาท ในการส่งเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ นม, โยเกิร์ต, ชีส, และผักใบเขียว

4. วิตามินเอ (Vitamin A) ช่วยเสริมสร้างการมองเห็นและพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันของทารก วิตามินเอมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเซลล์และการพัฒนาผิวหนัง โดยอาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ แครอท, มันเทศ, และผักใบเขียวเข้ม

5. วิตามินบี 6 (Vitamin B6)  มีบทบาทสำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และการเผาผลาญโปรตีน นอกจากนี้การเพิ่มปริมาณวิตามินบี 6 อาจช่วยลดอาการคลื่นไส้ในช่วงตั้งครรภ์ โดยอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 ได้แก่ ถั่วชิกพี (ถั่วลูกไก่ หรือถั่วแกง), ปลา, และมันฝรั่ง

6. วิตามินบี 12 (Vitamin B12) สนับสนุนการพัฒนาระบบประสาท และการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง การขาดวิตามินบี 12 อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารก และความสามารถในการเรียนรู้ อาหารที่ดีในการเสริมวิตามินบี 12 ได้แก่ เนื้อสัตว์, ปลา, และผลิตภัณฑ์จากนม

7. วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และการดูดซึมธาตุเหล็ก การมีวิตามินซีเพียงพอช่วยป้องกันโรคขาดวิตามิน และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยว, มะเขือเทศ, และพริกหวาน

8. วิตามินดี (Vitamin D) ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และพัฒนากระดูกของทารก วิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของแคลเซียมในร่างกาย ซึ่งอาหารที่มีวิตามินดี ได้แก่ นมเสริมวิตามินดี, ไข่แดง, และปลาไขมันสูง เช่น แซลมอน 

9. โอเมก้า-3 (Omega-3) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมอง และระบบประสาทของทารก แถมโอเมก้า-3 ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ และการคลอดก่อนกำหนดได้ โดยอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า-3 ได้แก่ ปลาแซลมอน, เมล็ดแฟลกซ์, และวอลนัท

10. ไอโอดีน (Iodine) สำคัญต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ และการพัฒนาสมองของทารก การขาดไอโอดีนสามารถส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของสมอง และการเจริญเติบโตได้ ซึ่งอาหารที่มีไอโอดีนสูง ได้แก่ ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, ปลาซาร์ดีน, สาหร่ายทะเล, และผลิตภัณฑ์จากนม

11. โคลีน (Choline) ช่วยในการพัฒนาสมองและระบบประสาทของทารก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมอง และป้องกันข้อบกพร่องของท่อประสาท โดยโคลีนสามารถพบได้ในอาหารหลายประเภท เช่น ไข่, เนื้อสัตว์, ถั่ว, โยเกิร์ต, และผักบางชนิด เช่น บรอกโคลีและกะหล่ำปลี

สารอาหารที่สำคัญสำหรับลูกในท้อง แม่ที่ตั้งครรภ์ควรทานวิตามินเสริมอะไรบ้าง

อาหารที่ดีต่อลูกในท้อง คุณแม่ควรทานระหว่างตั้งครรภ์

การทานอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลาย จะช่วยให้คุณแม่และทารกได้รับสารอาหารที่จำเป็น ดังนี้ 

1. ผลไม้และผัก เช่น ผลเบอร์รี่, กล้วย, ส้ม, กีวี, ผักโขม, เคล, บ๊อกฉ่อย ล้วนเป็นผลไม้และผักที่อุดมไปด้วยวิตามิน, แร่ธาตุ, และไฟเบอร์ ซึ่งช่วยสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันของคุณแม่และพัฒนาการของทารก เช่น วิตามินซีในผลไม้ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และการดูดซึมธาตุเหล็ก ในขณะที่ผักใบเขียวเข้มมีโฟเลตที่สำคัญต่อการพัฒนาท่อประสาทของทารก

2. ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ควินัว, ข้าวกล้อง, ฟาร์โร, ข้าวโอ๊ต ธัญพืชเต็มเมล็ดเป็นแหล่งของไฟเบอร์, วิตามินบี, และแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และการทำงานของระบบย่อยอาหาร ทั้งยังช่วยในการพัฒนาสมองของทารก และการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่ออีกด้วย

3. ไข่ เป็นแหล่งของโปรตีน, วิตามิน, และโคลีนดังนั้นไข่จึงช่วยให้คุณแม่ได้รับโปรตีนที่จำเป็น สำหรับการพัฒนาของเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อ นอกจากนี้โคลีนในไข่ยังมีความสำคัญต่อ การพัฒนาสมองและระบบประสาทของทารกเช่นกัน

4. พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วชิกพี, ถั่วขาว, ถั่วเหลือง เป็นแหล่งของโปรตีน, โฟเลต, และไฟเบอร์ที่ช่วยในการพัฒนาสุขภาพโดยรวม และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

5. ผลิตภัณฑ์นม เช่น นม, ชีส, โยเกิร์ต เป็นแหล่งของแคลเซียม ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนากระดูก และฟันของทารก ทั้งยังช่วยในการรักษาความแข็งแรงของกระดูกคุณแม่เองด้วย

6. ปลา เช่น แซลมอน, แมคเคอเรล, ปลาซาร์ดีน เป็นแหล่งของโอเมก้า-3 ชั้นดี ที่ช่วยในการพัฒนาสมอง และระบบประสาทของทารก นอกจากนี้ โอเมก้า-3 ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ และการคลอดก่อนกำหนดได้

7 สาหร่ายทะเล เช่น เคลป์, คอมบุ, นอริ, วากาเมะ เป็นแหล่งของไอโอดีนชั้นเยี่ยม ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ และการพัฒนาทางสมองของทารก การได้รับไอโอดีนที่เพียงพอ ช่วยป้องกันปัญหาการเจริญเติบโต และการพัฒนาทางสมองของทารกได้อย่างดีเยี่ยม

การทานอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลายเป็นสิ่งสำคัญตั้งแต่ตอนที่คุณแม่ตั้งครรภ์ เพื่อให้ทารกในครรภ์ได้รับสารอาหารที่จำเป็นในการเจริญเติบโตและพัฒนาอย่างเต็มที่ คนท้องจึงควรเลือกทานอาหารที่มีสารอาหารสำคัญ เช่น โฟเลต ธาตุเหล็ก แคลเซียม และวิตามินต่างๆ ตลอดจนหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวสูง เพื่อสุขภาพของตัวเองและลูกในท้อง

อาหารที่ดีต่อลูกในท้อง คนท้องกินอะไรระหว่างตั้งครรภ์

หลังลูกคลอด ทานอาหารได้ตอนกี่ขวบ ควรทานอาหารและวิตามินอะไรบ้าง

หลังคลอด โดยทั่วไปลูกจะเริ่มทานอาหารได้ตอนอายุประมาณ 6 เดือน ซึ่งพ่อแม่ควรให้ลูกทานอาหารที่มีความหลากหลายและครบถ้วนทางสารอาหาร เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันและพัฒนาการที่ดีให้กับเจ้าตัวเล็ก 

อาหารและวิตามินสำหรับเด็กอายุ 6 เดือน – 1 ปี 

ลูกอายุ 6 เดือน - 1 ปี ควรได้รับอาหารที่บดละเอียดและง่ายต่อการย่อย เช่น ผลไม้ที่บดละเอียด (แอปเปิ้ล, กล้วย), ผักที่ต้มและบด (แครอท, บรอกโคลี), ธัญพืชบด (ข้าวโอ๊ต, ควินัว), และโปรตีนจากเนื้อสัตว์หรือปลา (ไก่บด, ปลาเนื้อขาว) รวมทั้งนมแม่หรือนมสูตรทดแทน โดยอาหารเหล่านี้จะช่วยเสริมพัฒนาการและการเจริญเติบโต ซึ่งวิตามินที่สำคัญในช่วงวัยนี้ ได้แก่ วิตามินดี (Vitamin D) ที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และวิตามินเอ (Vitamin A)  ที่ส่งเสริมการมองเห็นและภูมิคุ้มกัน

อาหารและวิตามินสำหรับเด็กอายุ 1 – 3 ปี

ลูกอายุ 1 - 3 ปี สามารถทานอาหารที่หลากหลายได้มากขึ้น เช่น ผลไม้, ผัก, ธัญพืช, โปรตีนจากเนื้อสัตว์และปลา ควรเสริมอาหารที่มีไขมันดี (เช่น อะโวคาโด, ถั่วเปลือกแข็ง) เพื่อพัฒนาสมอง และอาหารที่มีธาตุเหล็ก (เช่น เนื้อแดง, ถั่ว) เพื่อลดความเสี่ยงของโรคโลหิตจาง โดยวิตามินที่สำคัญในช่วงนี้ ได้แก่ วิตามินซี (Vitamin C) ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและการดูดซึมธาตุเหล็ก และวิตามินบี 12 (Vitamin B12) ที่สนับสนุนการพัฒนาระบบประสาท และการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง

อาหารและวิตามินสำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป

สำหรับลูกที่อายุ 3 ปีขึ้นไป ควรทานอาหารที่หลากหลายจากทุกกลุ่มอาหาร รวมถึงอาหารที่มีโฟเลต (เช่น ผักใบเขียว, ถั่ว) และแคลเซียม (เช่น นม, ชีส) เพื่อการพัฒนากระดูกและฟัน ซึ่งวิตามินที่สำคัญในช่วงนี้คือวิตามินดี (Vitamin D) และแคลเซียม (Calcium) สำหรับการพัฒนากระดูกและฟัน รวมถึงวิตามินเอ (Vitamin A) และวิตามินซี  (Vitamin C) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันและการมองเห็น

ทั้งนี้สำหรับครอบครัวที่มีลูกวัย 2 ขวบขึ้นไป และต้องการเสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อยให้เติบโตสมวัย สามารถเสริมความแข็งแรงให้ลูกด้วยเจลลี่วิตามินสูตรคุณหมออย่าง Jelly CARE IMMU+ ได้ เพราะในเจลลี่วิตามินสูตรนี้ อุดมไปด้วยสารสกัดพรีเมียม และวิตามินที่หลากหลาย ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้เจ้าตัวเล็กแข็งแรง ไม่เป็นหวัดง่าย ให้คุณพ่อคุณแม่ได้อุ่นใจไร้ความกังวล

สั่งซื้อ Jelly CARE IMMU+

ติดต่อ Jelly CAREเจลลี่แคร์ IMMU+